4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้

4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้

4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้

4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้ หลายคนอยากทำธุรกิจ อยากเป็นเจ้าของธุรกิจเอง แต่อาจจะกลัวความเสี่ยงต่างๆ ในการลงทุนทำธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจนั้นใครก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่ใครกันล่ะที่จะสามารถประครองธุรกิจนั้นๆ ให้ยั่งยืนและก้าวหน้า ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายเลย

ยิ่งถ้าเกิดเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ การที่จะสร้างธุรกิจที่มีสเกลขนาดใหญ่ โดยเริ่มจากเงินทุนน้อยๆ ยิ่งมีความเป็นได้ยาก วันนี้เราเลยเลือก 5 ธุรกิจที่สามารถเริ่มจากขนาดเล็ก แล้วพัฒนาไปเป็นขนาดใหญ่มากขึ้นได้ในเวลาอันสั้นมาให้ศึกษากัน

1. ธุรกิจขายปลีก (ขยายสาขา)

การสร้างโมเดลธุรกิจในรูปแบบขยายสาขา ส่วนมากเน้นการทำแบรนด์ให้ติดตลาด และขยายสาขาเพื่อลดต้นทุนต่อขนาด หมายถึงการเปิดสาขาในช่วงแรกจะขาดทุนต่อเนื่อง จนกระทั่งขยายถึงจุดหนึ่งซึ่งคุ้มค่าระบบการจัดการ ค่าบริหาร รวมถึงค่าซอฟแวร์ต่างๆ ซึ่งต้องลงทุนอย่างหนักในช่วงแรก

ดังนั้น การทำธุรกิจประเภทนี้ เราเรียก Growth Business หรือคือการเน้นการเติบโตมากกว่าผลกำไรของบริหาร เรามักจะเห็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อขยายสาขาในหน้าตาเดิม ๆ และเน้นการขยายสาขาอย่างรวดเร็วเพื่อหวังผลในการกินส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง

ธุรกิจจำพวกนี้ ผู้ชนะแทบจะกินทุกอย่าง เพราะมีอำนาจในการต่อรองกับทุกฝ่ายสูงมาก เช่น สามารถต่อรองกับผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ ขนส่ง รวมถึงดึงดูดพนักงานให้ร่วมทำงานด้วย การจะทำธุรกิจให้อยู่ในขั้นตอนนี้ได้ อาจจะต้องใช้เวลาในการเตรียมการณ์นานมาก การขยายสาขาจากสาขาแรกสู่สาขาที่สอง

อาจจะใช้เวลาเป็นสิบปี แต่สาขาหลังจากนั้น จะค่อยๆ ลดระยะเวลาตามลำดับเนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนเริ่มมากขึ้น หรือเริ่มมีเครดิตจากธนาคารต่างๆ มาช่วยเหลือในการขยายตลาด บางบริษัทเน้นผลักดันธุรกิจเข้าสู่ตลาดเงินทุน เพื่อหวังได้รับเงินทุนมาขยายสาขาอย่างรวดเร็ว

2. ธุรกิจค้าส่ง

4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้

หลายคนไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจขายส่ง vs ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย หากดูคร่าวๆ ธุรกิจทั้งสองตัวมีความใกล้เคียงกัน เพราะถือเป็นการขายอาชีพทั้งคู่ กล่าวคือเราขายส่งสินค้าแก่กลุ่มลูกค้า โดยลูกค้าเหล่านี้นำสินค้าของเราไปขายปลีกในขั้นสุดท้าย จุดแตกต่างอยู่ที่ตัวแทนจำหน่ายจะรับสินค้าในปริมาณที่น้อยกว่า

มีการจูงใจด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ มีการเก็บสะสมแต้มเพื่อขึ้นตำแหน่ง ดูคล้ายกับธุรกิจเครือข่าย แต่ไม่ซับซ้อนขนาดนั้น ในส่วนธุรกิจขายส่งมีความอนุรักษ์นิยมมากว่า เน้นการขายทีละมากๆ ในราคาถูก หัวใจของการขายส่งคือลดต้นทุนให้ถูกที่สุด

เพื่อนำไปขายปลีกทำกำไรอีกครั้ง ดังนั้น การทำธุรกิจขายส่ง ต้องเน้นกลยุทธ์ Cost Leadership คือการลดต้นทุนเป็นสำคัญ เพื่อเกิด Economic of Scale หรือการประหยัดต่อขนาด ดังนั้น ถือเป็นการเน้นการผลิตมากกว่าการขาย

3. ธุรกิจแฟรนไชส์

การสร้างธุรกิจแฟรนไชส์ คือการสร้างต้นแบบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และขายต่อในเรื่องของ Know How แบบสำเร็จรูป ซึ่งคนที่ซื้อแฟรนไชส์จะได้โมเดลการทำธุรกิจแบบกึ่งสำเร็จรูป เรียกได้ว่าครบวงจร แต่มีความเสี่ยงเรื่องของหน้าร้าน และการทำตลาดที่ยังต้องแย่งชิงกันในกลุ่มผู้ซื้อแฟรนไชส์ด้วยกัน

รวมถึงจำนานของแฟรนไชส์ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ข้อดีจริง ๆ ของการซื้อแฟรนไชส์มาบริหารคือ การได้เรียนรู้ธุรกิจที่มีแบบแผน รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ถือว่าเป็นการช่วยร่นระยะเวลาในการศึกษาธุรกิจ ด้วยเงินไม่มากได้อย่างดีเยี่ยม

แต่ในเรื่องของยอดขายและผลกำไร อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของธุรกิจ แนวโน้มของเมกาเทรนด์ ความสามารถในการแข่งขัน ทำเลที่ตั้ง ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ต้องนำมาตัดสินใจในการเลือกแฟรนไชส์ทั้งสิ้น ในมุมของเจ้าของกิจการ ใครที่คิดจะพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

และขายธุรกิจเป็นสิทธิแฟรนไชส์ ควรจะค่อยๆ ขยายทีละสาขา อย่ารีบร้อน โดยสาขาแรกๆ ควรจะขายแฟรนไชส์ให้กับญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือคนรู้จัก เพื่อเรียนรู้และตกผลึกปัญหาต่างๆ ที่จะพบเจอ ผมเชื่อมั่นว่า ปัญหาที่เราคิดกับปัญหาที่เราเจอ ฟันธงว่าไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ดังนั้น เดินทีละก้าว ข้ามทีละสเต็ป จะทำให้เราปวดหัว และเจ็บตัวน้อยที่สุด

4 ธุรกิจที่อาจสร้างความยั่งยืนให้กับคุณได้

4. ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย

ในยุคดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจที่พีคที่สุดคงหนีไม่พ้น ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย ด้วยความที่ผู้ทรงอิทธิพลในสื่อโฆษณายุคนี้ ไม่ใช่ดารา หรือนักแสดงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีพรีตตี้ เน็ตไอดอล นักร้องสมัครเล่น รวมถึงคนธรรมดา ซึ่งหลายฝ่ายเรียกรวม ๆ ว่า “You” หมายถึงคนที่มีอิทธิพลในยุคดิจิตอลมากที่สุดคือ “คุณ” นั่นเอง

คนธรรมดาอาจจะกลายเป็นซุปตาร์ได้ คนที่เป็นซุปตาร์เองก็สามารถกลายเป็นคนธรรมดาได้เช่นกัน ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เรามักจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จทางสังคมออนไลน์ มีผู้ติดตามมากมาย หันมาขายของและรับสมัครตัวแทนจำหน่าย โดยเอาตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือในแง่ “กระแสสังคม”

โดยคอนเซปต์ง่าย ๆ คือ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ตัวเจ้าของเอง เมื่อโด่งดังในสังคมออนไลน์แล้ว จะขายอะไรก็ได้ ตัวคนที่รับของไปขายหรือตัวแทนจำหน่าย ก็ทำเงินได้ง่ายได้ ขายของก็ง่าย เพราะกระแสของเจ้าของแบรนด์กำลังดัง หันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง

แต่การทำธุรกิจลักษณะนี้ควรระวังเรื่องการจบเทรนด์ หรือผมเรียกว่า “ลุกทีหลัง จ่ายรอบวง” การขายสินค้าที่อิงกระแสของเจ้าของแบรนด์เป็นหลัก ต้องรีบขายรีบเผ่น เข้าช่วงแรกออกช่วงหลัง ระมัดระวังให้มาก ขายออกหนึ่งล็อต สั่งของหนึ่งล็อต ห้ามตุน ห้ามเบิ้ล ห้ามโลภมากเก็บแต้มทำ VIP ไม่ได้เด็ดขาด เพราะห้ามสินค้าค้างสต็อคในจังหวะที่เทรนด์จบ งานที่เหมือนถือระเบิดเวลาเดินไปเดินมา สุดท้ายไม่มีใครรับรับลูกระเบิด ก็งานงอกอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ ธุรกิจตัวแทนจำหน่าย หากเราพัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง เจ้าของแบรนด์รักตัวแทนเหมือนคนในครอบครัว มีการอบรมให้ความรู้ ช่วยขายของ ช่วยปล่อยของ ทำเนื้อหาดี ๆให้ตัวแทนได้รับรู้ ได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์

รวมถึงสินค้าที่ขายต้องดีจริง ใช้แล้วเกิดการบอกต่อ ถ้าเจ้าของแบรนด์ทำได้แบบนี้ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายจะเติบโตอย่างยั่งยืน และไม่เสี่ยงที่จะล้มหายตายจาก แม้ว่าช่วงแรกอาจจะโตยาก เพราะเราไม่ได้โหนกระแส แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเดินด้วยตนเองได้ ธุรกิจจะไปได้อย่างยั่งยืนและมีความสุขในลักษณะ Family Business หรือธุรกิจครอบครัวได้

การทำธุรกิจนั้นมีความยากง่ายของมัน อยู่ที่เราแล้วแหละว่าจะศึกษามากน้อยแค่ไหนก่อนการทำกิจการ หรือทำธุรกิจนั้นๆ เนื่องด้วยทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง และความผันผวนอยู่เสมอ ดังนั้นเราควรศึกษาทิศทางของตลาดด้วยว่าจะเป็นไปในแนวทางใด จะมีความเสี่ยงอะไรบ้างที่เราจะต้องเจอ เพื่อเตรียมรับมือให้ได้ และประสบผลสำเร็จตามเป้าที่วางไว้อย่างราบรื่นนั่นเอง

บทความที่น่าสนใจ : 5 ซีรีส์เกาหลีดูเพลิน เนื้อเรื่องเรียบง่าย ถูกใจชาววัย 20 อัพ